ความแตกต่างของการลดน้ำหนักในแบบของผู้ชายกับผู้หญิง.......

ความแตกต่างของการลดน้ำหนักในแบบของผู้ชายกับผู้หญิง.......

ลดความอ้วนด้วยวิธีการของผู้ชาย

ขั้นที่ 1 - ไดเอ็ทแบบผู้ชาย
     ไดเอ็ทแบบผู้ชาย คือ เลิกคิดถึงคำว่าไดเอ็ทไปเลย   ผู้ชายน้อยคนมากที่จะคิดถึงคำนี้เวลากินอาหาร  แล้วคุณก็ลืมคำสั่งสอนแบบเก่าๆไปได้เลยว่าต้องกินอาหารแบบอดๆอยากๆ  ต้องไม่กินอาหารพวกแป้ง ที่ให้พลังงาน เช่นงดขนมปัง  งดพาสต้า (อาหารเส้นของอิตาลี เช่น มักกะโรนี สปาเกตตี้) แทนที่จะงดกินอาหารพวกนี้ พวกผู้ชายจะงดกินขนมหวานแทน แล้วก็กินอาหารพวกนี้ตามสบาย  แต่จะกินอาหารที่ชอบในปริมาณที่น้อยลง   ซึ่งการกินอาหารที่ชอบได้ตามใจ จะทำให้ผู้ชายไม่กินเข้าไปมากในครั้งเดียว โดยต่างจากผู้หญิงที่ห้ามใจตัวเองมานาน พอไปเจอของถูกใจในงานเลี้ยง เลยฟาดเข้าไปมาก
     นักโภชนาการคนไหนๆ ก็มักจะบอกให้เรากินอาหารให้ครบห้าหมู่ เริ่มจากพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ตามมาด้วย ผัก ผลไม้ แล้วก็เนื้อ นม ไข่ ในปริมาณพอควร รั้งท้ายด้วยไขมันและน้ำตาลในปริมาณน้อยๆ แต่พวกผู้หญิงจะไม่คิดอะไรง่ายๆแบบนี้ พวกเธอจะต้องไปสรรหาแผนการไดเอ็ทที่ต้องกินอะไร และไม่กินอะไรให้ลำบากตัวเอง แล้วก็ทุกข์ทรมานใจอยู่กับแผนการกินอาหารแบบลำบากนั้น 
     ดังนั้น ถ้าจะเอาอย่างผู้ชาย ขั้นที่ 1 นี้ จงกินอาหารให้ครบห้าหมู่ ตามใจที่ร่างกายต้องการ คืออยากกินเท่านั้นเป็นพอ

ขั้นที่ 2 - ตัดตอนวงจรแห่งความรู้สึกผิดออกไป
     พวกผู้ชายไม่ค่อยมีหรอกความรู้สึกผิดอะไรเนี่ย  ไม่รู้สึกกับอะไรสักอย่าง รวมทั้งเรื่องอาหารนี่ด้วย ไม่เคยมี....... ไม่เคยรู้สึก แม้จะทานเค้กช็อคโกแลตชิ้นโต กับไอศกรีมอีกครึ่งถังอยู่แหม็บๆ  ส่วนพวกผู้หญิงมักจะต้องต่อสู้และหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กินโน่นกินนี่  แล้วพอเผลอกินเข้าไป ก็มารู้สึกผิดและลงโทษตัวเองอยู่ร่ำไป ทั้งๆที่มันอาจจะไม่ถูกต้องเลย
     ผู้ชายอาจจะเสียใจถ้าบังเอิญกินพิซซ่ามากไปกว่าที่ตั้งใจสัก 2 เสี้ยว  แต่ก็ไม่ได้เก็บเอาความเสียใจนั้นมาลงโทษตัวเอง จบมื้อแล้วก็จบไป  กฏข้อนี้คือ อย่าไปเอาอารมณ์กับมันนักถ้าบังเอิญกินอาหารแบบผิดพลาดไป  ผู้ชายมองอาหารว่า กินไปเพื่อให้พลังงาน หรือกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่กินเพราะมันน่ากิน

ขั้นที่ 3 - เลิกคิดคำนวณปริมาณไขมันที่กินเข้าไป
     ผู้ชายส่วนใหญ่จะคิดถึงไขมันในเรื่องคุณสมบัติทั่วๆไปของมัน โดยคิดถึงความสัมพันธ์ของไขมันกับสุขภาพโดยรวม ตามทฤษฏีง่ายๆแบบนี้
     1) ไขมันหนัก เช่น เนย หรือไขมันสัตว์  มีแนวโน้มจะทำให้เราเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ดังนั้น เราควรทดแทนด้วยการกินไขมันน้ำแทน เช่น น้ำมันมะกอก
     2) ถ้าอาหารชนิดใดมีไขมันเป็นส่วนประกอบ  เราก็คิดถึงมันและกินมันในสภาพนั้นๆ ไม่ต้องไปคิดหาวิธีดัดแปลงสภาพมัน  เลิกคิดถึงอาหารที่แปะป้าย "โนแฟ็ต No Fat" ไม่มีไขมัน หรือ "โลว์แฟ็ต Low Fat" ไขมันต่ำ มันเป็นเรื่องตลก เพราะถ้ามันเอาไปทำแบบนั้นแล้วมันก็ไม่อร่อย ไม่น่ากินเลย  ครอบครัวหนึ่งฝ่ายภรรยาคอยเฝ้าระวังไขมันแบบเอาเป็นเอาตาย จะกินโยเกิร์ตก็ต้องซื้อแบบโลว์แฟ็ต  ส่วนสามีก็กินโยเกิร์ตแบบธรรมดา แต่ลองไปอ่านข้างกระปุกดูสิจะพบว่า โยเกิร์ตแบบธรรมดานั้น ให้พลังงานหรือมีแคลอรี่น้อยกว่า เพราะโยเกิร์ตแบบไขมันต่ำนั้นกลัวไม่อร่อย ก็เลยต้องทดแทนด้วยคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลเข้าไปมากกว่าปกติ  แล้วด้านวิชาการก็สามารถอธิบายได้ง่ายๆว่า น้ำหนักตัวของคนเราที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มันมาจากการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง ไม่ว่าแคลอรี่นั้นจะมาจาก ไขมัน น้ำตาล หรือว่าแป้งก็ตาม ที่ส่วนมากของอาหารโลว์แฟ็ตก็มักจะทุ่มใส่แป้งหรือน้ำตาลเข้าไปทดแทนไขมัน ที่น้อยกว่าปกติไปแทบทั้งสิ้น 
     มันคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิงที่อุตส่าห์กินอาหารโลว์แฟ็ตและโนแฟ็ตแล้วยังมีน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ชายที่กินอาหารตามปกติของมัน  แล้วยังกินแบบอร่อยๆ สบายๆ ไม่ได้คำนวณแคลอรี่เลย

ขั้นที่สี่ - กินอาหารไปตามที่ใจปรารถนา
     ผู้ชายคนหนึ่งเล่าว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน เขาออกไปกินอาหารนอกบ้านแบบว่าให้รางวัลกับชีวิตของตัวเอง เป็นอาหารชุดใหญ่  นอกจากอร่อยกับมื้ออาหารนี้ที่เต็มไปด้วยโคเลสเตอรอล และไขมันแล้ว ยังมีอาการแบบเมาอาหารค้างอีกด้วย เพราะเช้าต่อๆมา เขาไม่สามารถกินอาหารที่มันๆได้ แถมยังรู้สึกอยากจะไปออกกำลังที่ยิมให้เบาเนื้อเบาตัวอีกด้วย ซึ่งอันนี้จะเป็นความรู้สึกทั่วไปของผู้ชายทุกคน
     ผู้ชายสุขภาพดีทุกคนจะเป็นแบบนี้  อยากกินกินเข้าไปตามใจปรารถนา แล้วก็ไปรีดออกง่ายๆที่โรงยิม
     แต่ผู้หญิงนั้น มักจะตรงกันข้าม คือมัวแต่ไประมัดระวังการกิน อดๆอยากๆ กินอาหารไขมันต่ำที่ไม่อร่อย จำกัดตัวเองเข้าไว้ บางครั้งพอเผลอกิน ก็ลงโทษตัวเองอยู่นั่นแล้ว  พวกผู้หญิงไม่เคยคิดถึงการกินแบบเป็นสุขและการออกกำลังกายแบบเป็นสุข  ถ้าผู้หญิงจะออกกำลังกายก็เป็นเพราะดูทีวี เห็นใครสักคนที่สวยๆ เชฟดีๆ แล้วอยากจะเอาอย่าง
     แต่ผู้ชายออกกำลังแบบเป็นสุข เพราะสนุกและมีความสุขกับมัน 

ขั้นที่ห้า - ยกน้ำหนักและออกเหงื่อ
     พวกผู้หญิงแอบกลัวอยู่เงียบๆว่า ถ้าเล่นกีฬาแบบยกน้ำหนักแล้ว กล้ามมันจะขึ้นเป็นมัดๆ เช่น ถ้ายกดัมเบลล์ ต้นแขนก็จะเป็นมัดกล้ามแบบนักยกน้ำหนักที่เห็นในทีวี น่าเกลียดตายเลย
     แต่โปรดจำไว้เลยว่า ร่างกายของหญิงกับชายนั้น มีโครงสร้างและการสะสมไขมันที่ต่างกัน สาเหตุก็มาจากฮอร์โมนเพศสองตัวที่ชื่อ เอสโตรเจน และ เทสทอสเตอโรน นั่นแหละ ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ผู้หญิงจะมีกล้ามแขนที่คุณคิดว่าน่าเกลียด
     การยกน้ำหนักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแผนการลดน้ำหนัก  ผู้หญิงที่มายกน้ำหนักนั้นจะผอมลง และกล้ามเนื้อกระชับเร็วกว่าการเต้นแอโรบิคเพียงอย่างเดียว ดาราฮอลลีวู้ดทั้งหลายที่เห็นรูปร่างดีๆนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการยกน้ำหนักทั้งนั้นแหละ
     ถ้าคุณยังไม่ค่อยเชื่อ ต้องอ้างวิทยาศาสตร์ประกอบอีกหน่อยว่า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ร่างกายของคุณจะทำงานหนักในการรักษากล้ามเนื้อมากกว่ารักษาไขมัน ดังนั้นถ้าคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าใด ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญแคลอรี่ออกไปได้มากเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะนั่งดูทีวีหรือกำลังออกกำลังกายก็ตาม   ดังนั้นถ้าอยากลดความอ้วนแบบชาย จงตั้งเป้าที่จะไปยกน้ำหนักอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์  ยกครั้งละสองสามท่า ท่าละ 10 ครั้ง (การถือตุ้มน้ำหนักข้างละ 2 ปอนด์เดินไปเดินมา ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลัง)

ขั้นที่หก - ระวังการเข้าชั้นเรียนฟิตเนส
     ผู้หญิงต่างจากผู้ชายตรงที่ชอบไปเข้าชั้นเรียนออกกำลังกาย บางครั้งไปติดใจครูผู้สอนเข้า ก็ติดแหง็กอยู่กับชั้นเรียนนั้นเป็นปีๆ  แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเราจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ถ้าเราเรียนออกกำลังกายอยู่ชั้นเดิมและชั้นเดียวนั้น  เพราะโดยทั่วไปหนึ่งชั้นเรียนก็มีเป้าหมายจุดเดียวหรืออย่างเดียว  ซึ่งการออกกำลังกายที่สมดุลดี ต้องรวมทั้งออกกำลังหัวใจและน้ำหนักกาย และครอบคลุมกล้ามเนื้อทุกกลุ่มด้วย
     เมื่อผู้ชายออกกำลังกล้ามเนื้อ เขาจะเริ่มต้นจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น หลัง หน้าท้อง ขาสองข้าง  ตามมาด้วยส่วนบนที่ต้องโชว์ ได้แก่หน้าอก ต้นแขน ไหล่  ดังนั้นถ้าจะลอกเลียนประสบการณ์ของผู้ชาย  ผู้หญิงก็จงเลิกกังวลกับส่วนหรือจุดที่เป็นปัญหา  ลอกแบบผู้ชายไปก่อน แล้วลองมาดูว่าร่างกายทุกส่วนได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง  ถึงแม้ผู้ชายทุกคนจะไม่ได้มีรูปร่างสมบูรณ์แบบไปทุกส่วนอย่างคุณคิด แต่ถ้าคุณลองตามวิธีการของเขาแล้ว รับรองว่าคุณจะรู้สึกตัวเองเซ็กซี่มากขึ้นกว่าเดิม เร้าใจกว่าเดิมอย่างแน่นอน

ขั้นที่เจ็ด - เมินเฉยที่ชั่งน้ำหนักไปเลย
     ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายแล้ว มองข้ามตาชั่งน้ำหนักไปได้เลย  ในโรงยิมที่พวกผู้ชายไปออกกำลังกันนั้น เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นสนิมไปเลยเพราะไม่มีใครใช้  แต่ในส่วนของพวกผู้หญิง พวกเธอยืนเข้าคิวรอตาชั่งน้ำหนักกันทุกวันในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น  ขนาดจำกัดตัวเองในการกินแทบตาย มาออกกำลังก็แล้ว ก็ยังต้องคอยระวังน้ำหนักกันทุกนาทีแบบนี้
     ถ้าคุณยอมรับที่จะใช้วิธีการแบบชายโดยการยกน้ำหนักด้วย คุณอาจจะพบว่าคุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งตกอกตกใจ อธิบายง่ายๆได้ดังนี้  ขนาดกล้ามเนื้อครึ่งกิโลนั้น มีขนาดเท่ากับหนึ่งในสาม ของขนาดไขมันหนักครึ่งกิโล  ดังนั้นหมายความว่า ถ้าคุณหนัก 50 กิโลกรัม แต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้ว คุณสามารถใส่กางเกงยีนส์คาลวิน ไคลน์ ขนาดเบอร์ 10 ได้สบายๆ ในขณะที่คนที่เต็มไปด้วยไขมัน และหนักเพียง 45 กิโลกรัมเท่านั้น  จะไม่สามารถยัดตัวเองเข้าไปในกางเกงยีนส์ตัวเดียวกันนี้ได้เลย